วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีอ่านกราฟฟอเร็กซ์เบื้องต้นสำหรับมือใหม่ ที่ต้องการเรียนรู้การเทรดฟอเร็กซ์ เทรดทอง น้ำมันเป็นต้น แรกๆอาจจะงง หน่อยแต่ถ้าแยกย่อยดูแล้วจะไม่ยากค่ะ สามารถใช้เวลาไม่นานก็ทำความเข้าใจเกี่ยวการดูกราฟเบื้องต้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเทรดฟอเร็กซ์ค่ะ
กราฟ หรือชาร์ต ที่เราเห็นจะเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่มีการแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่อดีตจนถึงราคาปัจจุบัน นักเทรดส่วนมากจะว่าเกือบทั้งหมดก็ได้ใช้กราฟะวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน เช่นราคาทอง ราคาน้ำมัน ค่าเงิน ในอนาคต สำหรับมือใหม่ที่สนใจตลาดฟอเร็กซ์และต้องการเทรดอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้วิธีอ่านกราฟเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะจะทำให้เราเห็นภาพได้ง่ายกว่า ตั้งกฏของตัวเองได้ มีความแม่นยำกว่าการคิดไปเอง หรือเดานั่นเอง
วิธีการวิเคราะห์ตลาด Forex มีสองประเภท คือ 1.การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่นข่าวสาร และ 2.การวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะนิยมมากที่สุด ในที่นี้เราจึงนำเสนอการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เป็นเครื่องมือพื้นฐาน เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต
วิธีอ่านกราฟฟอเร็กซ์เบื้องต้น
เริ่มแรกหลังจากที่เราลงทะเบียนสมัครเปิดบัญชีโบรกเกอร์ใดโบรกเกอร์นึงแล้ว เราก็จะได้รหัสเพื่อเข้าสู่หน้าต่างแพล็ตฟอร์มที่เราเรียกว่า MT4, MT5 หรือบางคนอาจจะเลือกใช้การเทรดบนบราวเซอร์ของโบรกเกอร์ก็ได้แต่ไม่ว่าจะเลือกอุปกรณ์หน้าตาและการดูกราฟพื้นฐานไม่แตกต่างกันค่ะจะต่างกันที่อินดิเคเตอร์ที่อำนวยความสะดวก และคู่สกุลเงินสะมากกว่าค่ะ
1.ส่วนประกอบแท่งเทียนเบื้องต้น
เมื่อเราเข้ารหัสมาแล้าเราก็จะเห็นกราฟดังรูปโดยแกนตั้งแสดงราคาและแกนนอนแสดงเวลา
และที่เห็นกราฟมีการขึ้นลงอยู่นั้น เราเรียกว่าแท่งเทียนที่ในแท่งเทียนนี้จะสามารถบอกได้ถึง”ราคาเปิด” “ราคาปิด” “ราคาต่ำสุด” และ “ราคาสูงสุด” ในแท่งเดียวแล้วแต่ว่าเราเลือกดูกรอบเวลาไหน
ราคาเปิด คือ ราคาซื้อขายเริ่มแรกของวัน
ราคาปิด คือ ราคาซื้อขายในตอนท้ายของวัน
ราคาสูงสุดคือ ราคาสูงที่สุดที่ซื้อขายในวันนั้น
ราคาต่ำสุด คือ ราคาต่ำที่สุดที่ซื้อขายกันในวันนั้น
ราคาเปิดและปิดจะแสดงด้วยสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า “body” และราคาต่ำและสูงจะแสดงด้วยเส้นแนวตั้งที่เรียกว่า “เส้นหนวด”
ในแผนภูมิแท่งเทียน แท่งที่เกิดขึ้นจากการขึ้นของราคาเรียกว่า “เส้นบวก” ส่วนมากจะตั้งค่าสีน้ำเงินหรือเป็นแท่งกลวง และแท่งที่เกิดจากราคาที่ลดลงเรียกว่า “เส้นลบ” ส่วนมากเป็นสีแทง หรือ เป็นแท่งทึบ ซึ่งที่จริงเราจะใส่สีอะไรก็ได้
เส้นบวกบ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่มีแรงซื้อ ขณะที่เส้นลบบ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่มีการขายแรง
หากราคาปิดในตำแหน่งที่สูงกว่าราคาเปิด สามารถตัดสินได้ว่าการซื้อนั้นแข็งแกร่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในทางกลับกันถ้าราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดก็ถือว่าแรงขายมาก จะเป็นแท่งลบ
ตัวอย่างดังรูปค่ะ เราจะเห็นแท่งเทียนมีสองสี สีน้ำเงินจะเป็นแท่งบวกที่บอกเราว่ามีแรงซื้อเข้ามา และสีแดงเป็นแรงขายที่มีเข้ามาแล้วแต่ในช่วงๆนึงซึ่งในการเทรด ถ้าคนเทรดสั้น จะเปิดออเดอร์ไม่นานก็จะดูช่วงที่กราฟวิ่งในกรอบเวลา 5-15 นาที ถ้าคนชอบเทรดยาวๆเปิดแล้วถือออเดอร์นานๆก็เทรดช่วง 1hr,4hh,day,week เป็นต้น เมื่อเราดูเป็นและชำนาญแล้ว เราก็จะหาสไตล์การเทรดที่เหมาะกับเราค่ะ
ที่แถบเครื่องมือเราจะสามารถเลือกดูกรอบเวลาที่ต้องการได้ค่ะ
กราฟแท่งเทียนจะมี หนาดสั้นบ้าง ยาวบ้างแล้วแต่ว่าราคามันผกผัน ขึ้นๆลงๆเท่าไรต่อวัน หรือต่อนาทีที่จับ ส่วนมากเอาไว้ดูจุดกลับตัวของคลื่นราคาค่ะ ยกตัวอย่าง
Hammer
เป็นจุดกลับตัว คล้ายว่าจะเป็นยอดของคลื่นก็ว่าได้ โดยเจ้าแท่งเทียนHammer นี้จะตัวป้อมๆ หางยาว บางครั้งจะเป็นแท่งเทียนแสดงรูปร่างเล็กๆ พร้อมกับไส้เทียนด้านล่างที่ยาว จุดกลับตัวHammerนี้มีข้อดีคือสามารถใช้เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้มในตลาดการเงินใดก็ได้ ทำให้มีประโยชน์ทั้งในการซื้อขายแบบสวิงและการซื้อขายระหว่างวัน
ทุกรูปแบบแท่งเทียนมีข้อดีและข้อเสีย ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีเครื่องมือหรือตัวบ่งชี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคใดที่สามารถรับประกันผลกำไร 100% แต่แผนภูมิแท่งเทียนค้อนมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อรวมกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA เส้นแนวโน้ม RSI MACD และ Fibonacci เป็นต้น
2.ดูเทรนด์เพื่อหาแนวโน้ม
เมื่อเรารู้จักแท่งเทียนแล้ว ต่อมาเราก็มาดูเทรนด์กันว่าราคาจะมีแนมโน้มขึ้นหรือลง หรือ อยู่ในช่วงพักตัว โดยส่วนมากเราจะเริ่มดูที่กรอบเวลาใหญ่หรือระยะยามก่อน ไทมเฟรม วัน อาทิตย์ และเดือนก่อน ว่าราคากำลังอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง
กราฟแท่งเทียน หรือ แท่งเทียนพอมาอยู่รวมกันแล้ว กราฟมันก็จะวิ่งขึ้น วิ่งลง เป็นปกติค่ะโดยจะวิ่งเป็นเหมือนรูปคลื่นมีจุดต่ำสุด จุดสูงสูดไปเรื่อยๆ ไม่มีใครบอกได้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ไหน แต่ก็ได้มีคนคิดและตั้งทฤษฏีไว้หลายอย่างแต่ที่นิยมที่สุดคือ ทฤษฏี ดาวน์ ค่ะ
ซึ่งใช้อธิบายพฤติกรรมของตลาดหุ้น เพื่อหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม หรือค้นหาการเคลื่อนไหวของทิศทางตลาดจนเกิดแนวโน้มใหม่
แบ่งเป็น
1.แนวโน้มขาขึ้น และเส้นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend line) หรือ เส้นแนวรับ (Support line)
2.แนวโน้มขาลง(Downtrend line) หรือ เส้นแนวต้าน(Resistance line)
3.เส้นแนวโน้มออกข้าง (Sideway line) ไม่มีเทรนเกิดขึ้น
เส้นแนวโน้มคือเส้นที่ลากบนแผนภูมิเพื่อวิเคราะห์ทิศทางของตลาด
เราสามารถวิเคราะห์ตลาดได้เพียงแค่เรียนรู้วิธีวาดเส้นมัน จึงเป็นวิธีวิเคราะห์ตลาดที่ใช้งานง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างมาก
เราแต่ดูจุดที่ต่ำสุดหรือสูงสุดแล้วลากไปยังจุดยอดต่างๆ หรือบางคนก็เรียกว่าจุดพีคค่ะ การลากเส้นไม่ได้มีกฏตายตัว ให้เรากะประมาณได้ว่าเราควรจะเข้าและออกตอนไหน โอกาสที่ราคาจะวกกลับมาอยู่โซนไหนค่ะ จะทำให้เราเลือกช่วงราคาที่ซื้อขายได้ดีมากขึ้น
แต่เมื่อไรที่ราคามันเบรกขึ้นไปหรือตัดลงมา เส้นต้านก็สามารถเปลี่ยนเป็นแนวรับและแนวรับก็กลายเป็นเส้นต้านได้ก็เป็นอีกเทคนิคนึงที่นักเทรดหลายคนใช้สำหรับเลือกจุดซื้อขาย หรือ เทรด นั่นเองค่ะ
แต่ก็จะมีช่วงพัก คือไม่ขึ้นไม่ลง เป็นช่วงที่ดูแนวโน้มยากค่ะ
จะเห็นได้ว่าเส้นแนวรับและแนวต้านถูกวาดในแนวนอน คือมีแรงซื้อและขาย พอๆกันค่ะ
[หมายเหตุ] ไม่สามารถยืนยัน “ปริมาณการซื้อขายที่แท้จริง” จากแผนภูมิฟอเร็กซ์ได้นะคะ
ในตลาดฟอเร็กซ์จะไม่เหมือนการซื้อหุ้นอยู่ที่ เราสามารถขาย ได้ก่อนที่จะซื้อค่ะ ไม่ต้องงไปนะคะ
เราจะเรียกคำสั่งการซื้อขาย ในช่วงที่เทรนด์ขาขึ้นว่า BUY
แล้วในช่วงเทรนด์ขาลง เราจะเรียกคำสั่งการซื้อขาย ว่า SELL ค่ะ
เช่น ในช่วง เทรนด์ขาขึ้น เราซื้อ ที่ราคา 10 บาท เมื่อถึงราคา 15 บาท เราก็จะได้ กำไร 5 บาท
ในช่วงเทรนด์ขาลง เรา SELL ทองที่ราคา 20 บาท พอราคาลงมาที่ 15 บาท เราก็จะได้ กำไร 5 บาท
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะ ตลาดฟอเร็กซ์ เราซื้อขาย สกุลเงินเป็นคู่ ซื้อขายเป็นคู่ ค่ะ เช่น EUR/USD ก็จะเป็นการเทียบว่า 1 EUR นั้นมีมูลค่าเท่าไหร่เมื่อคิดเป็น USD พอเปฺิดคำสั่ง เช่น ซื้อ ในขาขึ้น EUR/USD ก็เป็นการซื้อ EUR ขาย USD
คู่เงินหลักที่นิยม
EUR/USD (Euro – US Dollar)
USD/JPY (US dollar – Japanese Yen)
GBP/USD (British Pound – US Dollar)
AUD/USD (Australian Dollar – US Dollar)
USD/CHF (US Dollar – Swiss Franc)
USD/CAD (US Dollar – Canadian Dollar)
3.รูปแบบกราฟที่ เข้า Entry
ต่อมาก็จะเป็นอีกเทคนิคที่คนใช้ดูเพื่อหาจุดเข้าออก
1.triple top (triple bottom)
เป็นภูเขา สามลูก มี สามยอด โดยทั่วไปบ่งชี้การสิ้นสุดของแนวโน้ม เมื่อมีการเบรค เส้น Neckline
2.double top (double bottom)
double top (double bottom) จะมีรูปร่างคล้าย W และกลับหัว จะมี สองยอด
Double tops และ bottoms เป็นรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สำคัญโดยที่ดับเบิ้ลท็อปมีรูปร่าง ‘M’ และบอกชี้ถึงการกลับตัวของแนวโน้มขาลงDouble Bottom มีรูปร่าง ‘W’ และเป็นสัญญาณสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นขาขึ้นเมื่อมีการเบรคของราคาที่ Neck line
นี่เป็นข้อมูลการดูกราฟแท่งเทียนเบื่องต้นค่ะ เป็นเทคนิคพื้นฐาน สำหรับมือใหม่ในการที่จะเทรดและเป็นฐานเพื่อไปต่อยอดหาสไตล์การเทรดของตนเองเมื่อมีการชำนาญแล้ว
บางทีอาจมีการใช้อินดิเคเตอร์มาช่วย นอกจากหาแนวต้าน แนวรับ เพื่อความแม่นยำมากขึ้นค่ะ